คำถามยอดฮิต สำหรับการก้าวเข้ามาเป็น Tester แต่ละคนคงพบกับคำถามที่ว่า “เพราะอะไร คุณถึงอยากเป็น Tester” ก็น่าจะพบกับคำตอบกันมากมาย ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลาย ๆ คน อาจพบเจอกับ Tester ที่มีรูปแบบของการทำงานมาอย่างหลากหลายเช่นกัน งั้นมาลองดูกันบ้างว่า เราเคยเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า
Can be Lazy
ปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับกระบวนการของการพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ กระบวนการพัฒนาอื่น ๆ ก็ตาม คงหนีไม่พ้นเรื่อง เวลา
อาจจะมีบ้างที่เข้าใจผิดว่า งานของ Tester นั้นเริ่มเมื่อ ทีมพัฒนาได้ทำการพัฒนาซอฟต์แวร์จนเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในความเป็นจริง งานของ Tester นั้น เริ่มควบคู่กันไปกับทีมพัฒนาอยู่แล้ว ดังนั้น Tester เอง ก็จะทราบอยู่แล้ว ว่า การทดสอบซอฟต์แวร์แต่ละระบบนั้น จะต้องมี Environment หรือ การตั้งค่าต่าง ๆ ที่จำเป็นอย่างไร ก็ควรจะแจ้งให้ทางทีมที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อจะได้สามารถเริ่มงานในส่วนของการทดสอบได้ตามตารางงานที่ตั้งไว้
Can easily become an expert
หลายครั้ง ที่มักได้ยินว่า “Tester งานนี้น่าสนใจแฮะ” จากนั้นก็ตามติดมาด้วย “คงไม่มีอะไรใช่มั้ย แค่ คลิก ๆๆๆๆๆๆ” เท่านั้น ตั้งแต่ที่งานด้านการทดสอบระบบยังไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญเท่าไหร่ จนมาถึงบัดนี้ ก็ยังคงได้ยินไม่เว้นวัน ซึงยังมี กลุ่มคนกันเอง ที่ยังเข้าใจผิดว่าหน้าที่หลัก คือ การคลิกมักมีคนชอบตั้งคำถามถามว่า
เห็นด้วย ว่าใคร ๆ ก็เป็นได้แต่ก็คงในเป็นในส่วนของการใช้แรงเท่านั้น เพราะกระบวนการงานทั้งหมดทั้งนั้น ต้องประกอบไปด้วยกระบวนอีกมากมายทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะว่าแต่ละส่วนจะต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสำหรับงานนั้น ๆ ดังนั้นในทุก ๆ สายงานอาชีพ จึงต้องมี “specialist” ยังไงล่ะค่ะ
Blame anyone
เคยได้ยินหลายต่อหลายคนบอกว่าเหตุที่มาทำงานเป็นTester ก็เพราะจะได้จับผิดชาวบ้าน อยากให้ทุกคน ลองกลับมาคิดดูใหม่ Tester ก็สามารถทำผิดพลาดได้เช่นกัน ในกระบวนการของการพัฒนา เราจึงต้องมีจุดยึดในจุดเดียวกัน และ พัฒนาระบบให้ตรงตามสิ่งที่เรากำหนดไว้ร่วมกัน คือ Requirement Spec ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่นั้น มักจะมี Technical Spec / Solution Spec สำหรับทีมพัฒนาระบบ และ Test Spec สำหรับทีมทดสอบระบบ ซึ่งทุก ๆ ทีม ก็จะกำหนด Spec ให้ตรงตาม Requirement Spec อยู่แล้ว แต่ควรจะเพิ่มอีกส่วนนึงก็คือ ลองหยิบ Technical Spec / Solution Spec มาเทียบกับ Test Spec บ้างสิค่ะ ว่ามันไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า เพราะปัญหาคลาสสิคสุด ๆ คือ การตีความ
Love parrots
ก่อนอื่น คุณรู้ความหมายของคำว่า “รู้” และ “เข้าใจ” มากแค่ไหนกันค่ะ เคยได้ยินการถกเถียงกันของผู้ร่วมงานหลายครั้ง ว่า หากเราเป็น Tester แล้ว เราจะผันตัวเองไปเป็น Game Tester, Mobile Tester, ได้หรือไม่ สำหรับคำตอบก็คือ เป็นไปได้ 100% ค่ะ งั้นคุณลองมาสำรวจตัวเองดูว่า คุณ ”รู้” หรือ “เข้าใจ” ในงานของ Tester มาน้อยแค่ไหน เพราะการทดสอบระบบไม่ใช่เป็นเพียงการท่องจำเพื่อไปทำต่อ แต่คุณต้องมีพื้นฐานของความเข้าใจ เพื่อนำไปต่อยอดในการทดสอบระบบแต่ละแบบ หากคุณเข้าใจอย่างแท้จริง ก็ไม่ยากเลยหากคุณจะนำความรู้ความเข้าใจนั้น ไปประยุกต์ใช้ต่อไป
No need to learn
อีกส่วนที่สำคัญสำหรับ Tester ก็คือ การศึกษาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งบางคนก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของ Tester ทั้งนี้อาจจะไม่ใช่ หน้าที่หลัก แต่การศึกษาเทคโนโลยีนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Tester สามารถนำความรู้เหล่านั้นมาปรับปรุงกระบวนการทดสอบ หรือ Test inventory ต่าง ๆ ให้ทันสมัย และสอดคล้องกับการทำงานของระบบมากที่สุดเช่นกัน แล้วหลังจากที่มี Tester แล้ว คุณทำอะไรให้กับทีมงานของคุณได้บ้าง หลายต่อหลายท่านอาจเข้าใจผิดไปว่า
– KPI ของ Tester ก็คือ จำนวน Defects / Errors / Bugs ที่คุณพบ ที่จะต้องมากที่สุด
ถ้าเกิดประเด็นอย่างข้างต้น คงต้องปั่นป่วนมาก ๆ ค่ะ เพราะว่า มองกันคนละมุมอย่างสิ้นเชิง แท้จริงแล้ว KPI ของ Tester ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับ จำนวน Defects ที่คุณพบเสมอไป ซึ่ง Tester แต่ละคน ก็คงจะต้องเจอ Defects เดิม ๆ ซ้ำ ๆ มากันคนละหลายสิบรอบ เรามาลองหาวิธีลด Defects พวกนั้น ออกไปจากทีมงานกันดีกว่ามั้ย อาจจะเริ่มต้นจาก Test Checklist ง่าย ๆ เพื่อเป็นแนวทางให้ทีมพัฒนาลองทดสอบในเบื้องต้นก่อน อาจจะช่วยลด Defects บ้าง แถมไม่ต้องเสียเวลามานั่งเขียน Defects กันด้วย อย่างนี้ ก็ Happy กันทุกฝ่าย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Test Checklist ดังกล่าว ก็ควรให้ทุกฝ่ายได้ร่วมลงความเห็นกันด้วยนะค่ะ จะเป็นการดีที่สุดค่ะ
จากบทความข้างต้น คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะคะ การเป็น TESTER ไม่ใช่เรื่องยากแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับ TESTER มือใหม่ การเป็น TESTER ต้องมีหลายๆ องค์ประกอบรวมกัน อย่ามองเพียงว่า อาชีพนี้เป็นได้เพียงการได้แค่จับผิดชาวบ้าน หรือแค่ แค่ คลิก ๆๆๆ เท่านั้น ขอให้เปิดใจรับและมองหลาย ๆ มุมมองค่ะ
