Man & Metaverse – เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกับ Metaverse อย่างไรนับจากนี้ 

เมื่อช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวงการเทคโนโลยี ทำให้จู่ ๆ คำคำหนึ่งก็กลายเป็นคำที่ใคร ๆ ต่างพยายามหาคำตอบเพียงช่วงข้ามคืน ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น คือการบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง Facebook ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น Meta (เมตาและคำนี้นี่เองที่ทำให้หลายคนต้องรีบหาคำตอบ ว่ามันคืออะไรกันแน่?  

ก่อนจะมาถึงคำว่า Metaverse 

หลายคนอาจจะเคยรู้มาบ้างแล้วว่า Meta จะมีคำตอบไปในทิศทางไหน แต่อีกหลาย ๆ คนสงสัยเหลือเกินว่าทำไม Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook ถึงจะเปลี่ยนชื่อบริษัทของตัวเองเป็น Meta เขากำลังจะทำอะไรกันแน่ นี่เป็นข่าวที่ทั่วโลกต่างจับตา เพราะมันต้องมีความหมายอยู่แล้วที่ผู้บริหารจะเปลี่ยนชื่อบริษัทของตัวเอง ทั้งที่เป็นเวลาเกือบ 20 ปี ที่เขาใช้ชื่อ Facebook จนเป็นชื่อที่ทุกคนรู้จัก จดจำกันได้ทั่วโลก และมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มนี้นับพันล้านคน 

ในงาน Facebook Connect 2021 Mark Zuckerberg  ได้ออกมาประกาศว่าบริษัท Facebook จะรีแบรนด์และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Meta เพื่อเดินหน้าวิสัยทัศน์ Metaverse อย่างเต็มตัว ซึ่งนี่จะเป็นทิศทางใหม่ของบริษัท ที่เขาพร้อมจะมุ่งมั่นและเดิมพันกับมัน โดยตัวเขาเองก็เคยออกมาบอกเมื่อเดือนกรกฎาคมแล้วรอบหนึ่ง ว่าเขาต้องการเปลี่ยนให้ Facebook กลายเป็น Metaverse Company เต็มตัว ภายในระยะเวลา 5 ปี 

ในฐานะผู้ใช้ Facebook อย่างเรา ๆ หลังจากได้ยินข่าวก็อาจจะคิดกันไปต่าง ๆ นานา ว่าการเปลี่ยนชื่อครั้งนี้จะส่งผลกระทบอะไรกับบัญชี Facebook ของเราไหม ซึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแค่เปลี่ยนชื่อบริษัท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Meta จะเปรียบได้กับยานแม่ ส่วน Facebook และแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่เคยเป็นของ Facebook จะลดขนาดลงมาเป็นบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Meta แทน ทั้งธุรกิจโซเชียลมีเดีย Facebook, Instagram, WhatsApp, Facebook Messenger และธุรกิจ AR, VR และ Metaverse ที่เขากำลังทำ  

Metaverse คืออะไร? 

หลายคนน่าจะได้คำตอบแล้วว่าทำไม Mark Zuckerberg ถึงเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta มันเป็นวิสัยทัศน์ของเขาที่ต้องการให้ Facebook เป็นมากกว่าโซเชียลมีเดีย โดยจะมุ่งสู่การสร้างโลกเสมือนอย่าง Metaverse มากกว่าจำกัดอยู่กับคำว่า Facebook ต่อจากนี้ไป ทุกคนจะเชื่อมโยงถึงกันด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือน ที่เราอาจเคยรู้จักโลกเสมือนในวงการเกม แบบที่ว่าแค่สวมแว่น VR ก็เหมือนกับเราได้เข้าไปอยู่ในเกมนั้นจริง ๆ การมาถึงของ Metaverse  จะเปลี่ยนโลกที่เราเคยรู้จัก ให้กลายไปเป็นโลกใบใหม่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่นอน 

ซึ่งถ้าเขาทำให้มันเป็นจริงได้ในเวลา 5 ปี เท่ากับว่าต่อจากนี้อีก 5 ปี การติดต่อของพวกเราก็จะใกล้ชิดกันมากขึ้น เราจะสามารถเทเลพอร์ตตัวเองไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อพบปะกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ในโลก Metaverse เช่นเดียวกัน ซึ่งในขณะนี้ เขาก็กำลังพัฒนาโปรเจ็กต์หนึ่งในชื่อ Horizon Home ซึ่งเป็นแอปฯ สำหรับการเข้าสังคมในรูปของห้องนั่งเล่นที่คุณจะชวนใครมานั่งก็ได้ โดยใช้ระบบร่างอวตารหรือตัวแทนผู้ใช้งานเสมือนจริง 

สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หากมีคนพูดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน ก็คงจะโดนค่อนแคะว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน อาจถึงขั้นโดนปรามาสว่าเพ้อเจ้อ แต่ ณ เวลานี้ เรากลับเริ่มที่จะเห็นมันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว โดยเริ่มมาจาก Facebook อีกเช่นเคย ที่เคยพลิกโฉมโลกเทคโนโลยีมาครั้งหนึ่งแล้ว 

แต่ครั้งนี้ เขาเล็งเห็นว่า Metaverse คืออนาคตแห่งโลกอินเทอร์เน็ต บริษัทของเขาจึงหันมาโฟกัสและให้ความสำคัญกับเรื่องของการสร้างและใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกันเป็นอันดับแรก ที่เขาย้ำว่าต่อจากนี้จะต้องเป็น Metaverse-First ไม่ใช่ Facebook-First และมอง Metaverse เป็นเครื่องมือยุคถัดจากโซเชียลมีเดีย ที่สามารถสร้างเศรษฐกิจ สร้างงาน และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับโลก  

โลกเสมือนคืออะไร? 

ความหมายของเสมือน เป็นเพียงความเหมือน ความคล้ายคลึง แต่ไม่ใช่สิ่งนั้นจริง ๆ นั่นหมายความว่า Mark Zuckerberg กำลังจะสร้างโลกขึ้นมาอีกใบขนานกับโลกที่เป็นจริงอยู่ทุกวันนี้ เขามีแนวคิดที่จะพัฒนาโลกเสมือนจริง 3 มิติผสานเข้ากับเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) หากเราได้เข้าไปอยู่ในโลกเสมือนใบนี้ เราจะมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในโลกเสมือนที่ระบบคอมพิวเตอร์สร้างขึ้น 

มันจะเหมือนกับการที่เราเอาตัวเองเข้าไปเล่นเกม แทนที่จะสัมผัสปุ่มต่าง ๆ ผ่านหน้าจอ ก็เข้าไปวิ่ง ไปชกต่อยได้เองเลยในเกม จินตนาการต่อว่าตัวจริงเราอาจจะอยู่ที่บ้าน แค่สวมแว่นที่ใช้เทคโนโลยี VR แต่ร่างอวตารที่เราสร้างขึ้นอาจจะกำลังไปกินข้าวกับเพื่อน ๆ ในโลกเสมือนก็ได้ 

แน่นอนว่าการที่ Mark Zuckerberg กำลังจะกรุยทางโลกเสมือนขึ้นมาผ่านการเปลี่ยนชื่อบริษัท Facebook ซึ่งเป็นชื่อที่คนรู้จักกันทั่วโลก มันจึงเป็นการสร้าง “โลก” เสมือนจริง ๆ ไม่ใช่แค่สังคมเสมือนเท่านั้น โลกจริงมีอะไร โลกเสมือนก็ควรต้องมีแบบนั้นคู่ขนานกันไป นั่นหมายความว่ามันจะมีโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในโลกเสมือนนั้นด้วย มีการซื้อขายอะไรบ่างอย่างกันในโลกเสมือน ซื้อขายกันจริง ๆ มีการจ่ายเงิน มีหลักฐานซื้อขาย แต่ไม่มีของให้จับต้อง ทุกอย่างอยู่ในโลกเสมือน โลกที่เราเคยคิดว่ามันอยู่ในจินตนาการ ก็เกิดคู่ขนานขึ้นมาจริง ๆ 

นั่นคือ แม้แต่ NFT ก็เป็นตัวอย่างของสินทรัพย์และการซื้อขายที่เกิดในระบบเศรษฐกิจของโลกเสมือนแบบ Metaverse โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนซื้อขายโดยใช้คริปโตเคอร์เรนซีมาเป็นสื่อกลาง ซึ่งนี่ก็จะเป็นหน่วยเงินดิจิทัลอีก เงินที่รู้ว่ามีอยู่จริง แต่จับต้องไม่ได้ ต่อไปเราอาจจะเข้าไปขายงานศิลปะ ซื้อของสะสม แล้วแสดงความเป็นเจ้าของโดยทำ NFT ส่วนหลักฐานต่าง ๆ ไปหาเอาได้ใน Blogchain แบบนี้ก็เป็นได้  

ย้ายชีวิตไปอยู่บนโลกใบที่สองดีไหม? 

เมื่อ Metaverse นั้นเป็นแนวคิดที่เริ่มนำมาพัฒนาจริงจังจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับสื่อสารกันระหว่างบุคคล Metaverse ในระยะเริ่มต้นจึงน่าจะพุ่งเป้าไปที่การมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างมนุษย์เป็นหลัก ไอเดียจะคล้าย ๆ กับช่วงที่ทุกคนในโลกจำเป็นต้องเว้นระยะห่างระหว่างกันเนื่องมาจากโรคระบาด อยู่ห่างไกลแต่ยังจำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกันให้ได้ เทคโนโลยีจึงเข้ามาบีบทบาทสำคัญอย่างมากในการติดต่อและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ดังที่เราได้ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ติดต่อเพื่อนร่วมงานที่อยู่บ้านใครบ้านมันในช่วง WFH 

ลักษณะนี้กำลังจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้ แต่จะล้ำกว่าที่เคยเป็นไปมาก รวมถึงเป้าหมายก็อาจจะแตกต่างกันไปด้วยนิดหน่อย จากเดิมที่นำมาใช้งานในด้านการสังสรรค์ พบปะผู้คน และพูดคุยกันทางโลกออนไลน์ 

การมี Metaverse จะทำให้เรารู้สึกว่าโลกเสมือนมันมีตัวตนอยู่จริง ๆ และไม่ใช่แค่การมีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกันธรรมดา เมื่อมีคนเข้าไปทดลองใช้งานกันมากขึ้นเรื่อย ๆ Metaverse ก็อาจจะสร้างระบบนิเวศใหม่ขึ้นมา ให้คนมีปฏิสัมพันธ์กันมากกว่าการพูดคุย ทำงาน หรือไปร่วมงานปาร์ตี้ อาจมีสังคมของการซื้อขายในลักษณะเดียวกันกับ NFT ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นตลาดแหล่งใหม่ของคนกลุ่มที่เป็นนักพัฒนา เข้าไปสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ให้เหมือนกับเป็นโลกจริง ๆ เป็นโลกทิพย์ที่สัมผัสได้อย่างสมจริงมากขึ้น 

นอกจากนั้น การสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมา มันอาจจะเป็นการสร้างสถานที่พักผ่อนแบบใหม่ให้เป็นรูปธรรมมากกว่าเดิม ให้พวกเราได้รับความบันเทิงแบบเสมือนจริงแบบที่เคยเกิดขึ้นในวงการเกม อาจจะเป็นชมภาพยนตร์ การสังสรรค์กับเพื่อนที่อยู่กันคนละที่ หรือการชมคอนเสิร์ต เพราะไอเดียการสร้างโลกเสมือนหรือเมืองทิพย์ ก็เริ่มมีในวงการไอดอลเกาหลีและติ่งเกาหลีแล้วเช่นกัน 

โดย SM Entertainment เขาก็ได้สร้างอาณาจักรควังยา (광야) ขึ้นเป็นโลกสมมติใน SMCU (SM Culture Universe) สำหรับศิลปินในสังกัด ศิลปินและแฟนคลับรู้ดีว่าควังยาเป็นดินแดนสมมติที่อยู่ในจินตนาการ แต่ในอนาคต หาก Metaverse เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนกว่านี้ สายติ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นวัยรุ่นควังยาก็อาจจะได้ไปเที่ยวเมืองทิพย์ของศิลปินค่าย SM Entertainment ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับ Metaverse  ก็เป็นได้ 

โลกเสมือนไม่ใช่โลกจริงที่เราอาศัยอยู่ 

แม้ว่าแนวคิดโลกเสมือนหรือ Metaverse ที่ Mark Zuckerberg กำลังพัฒนาอยู่นี้จะน่าตื่นเต้น และดูมหัศจรรย์ที่คนเราจะสร้างโลกสมมติขึ้นมาได้จริง ๆ คู่ขนานไปกับโลกแห่งความเป็นจริง เราอาจจะรู้สึกสนุกสนานและทึ่งกับสิ่งที่เทคโนโลยีนี้ทำได้ หากเราได้ลองเล่นมันจริง ๆ ในวันที่มันสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ แต่เรา ๆ ก็คงต้องย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าโลกเสมือนมันก็เป็นเพียงโลกเสมือน โลกเสมือนอาจจะเกิดขึ้นจริงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นความสุขที่แท้จริง หรือทำทุกอย่างได้เหมือนจริง ใด ๆ แล้วเราก็ต้องมาใช้ชีวิตกันในโลกจริงอยู่ดี 

เพราะในมุมตรงข้าม คนที่เสพติดอยู่ในโลกเสมือน อาการก็น่าจะคล้ายกับคนที่เสพติดโซเชียลมีเดีย มันอาจทำให้คนบางคนฝังตัวเองอยู่ในโลกเสมือนนั้น แล้วละทิ้งชีวิตจริง ๆ ที่เป็นอยู่ จนเกิดเป็นปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ความรู้สึกไร้ตัวตน อาการกลัวตกกระแส เพราะใช้ชีวิตในโลกออนไลน์แทบตลอดเวลา การโอ้อวดกันในสิ่งที่จับต้องไม่ได้ในโลกเสมือน ที่อาจทำให้เราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ ในโลกออนไลน์โดยไม่รู้ตัว ที่สำคัญ การจะเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน มันอาจต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติมนอกเหนือจากโทรศัพท์เครื่องเดียว และมันก็ต้องใช้เงินซื้ออยู่ดี 

ต้องทำความเข้าใจว่าการได้เห็นชีวิตของคนที่สามารถซื้อข้าวของต่าง ๆ แล้วพาตัวเองไปอยู่ในโลกเสมือนได้ ก็เริ่มเห็นภาพชัดว่าตัวเราไม่มี ความรุนแรงของการเปรียบเทียบและอิจฉาของคนจะล้ำมากขึ้นไปตามเทคโนโลยีที่สูงกว่าโซเชียลมีเดีย หากคนผู้นั้นขาดสติที่จะควบคุมความคิดอยากได้อยากมีของตัวเอง อาจจะทำทุกอย่างให้ได้ลองเล่นโลกเสมือน หรือลองนึกถึงเรื่องการถือครองทรัพย์สิน NFT ดูก็ได้ คนที่เป็นเจ้าของสิ่งของหลาย ๆ อย่าง ที่แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่มันมองเห็นความมั่งมีได้จากการที่เขาจ่าย NFT เพื่อแลกกับการได้เป็นเจ้าของ 

ความฉลาดล้ำของเทคโนโลยีเหมือนกับดาบสองคม ที่ถ้าใช้แบบขาดสติและหลงระเริงกับมันจนไร้การควบคุม มันก็จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ในฐานะมนุษย์ เราควรต้องเป็นผู้ควบคุมและใช้เทคโนโลยี ไม่ใช่ให้เทคโนโลยีมาควบคุมชีวิตเรา ต้องมีสติและใช้อย่างชาญฉลาด รู้เท่าทันเทคโนโลยีให้มาก เพื่อไม่ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี 

ที่มา: tonkit360.com 

Tags

What do you think?

Related articles