กำจัด Digital Footprint ได้ง่าย ๆ ภายใน 5 นาที ด้วย Smart Data Assistant

ปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า โลกออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าคุณจะดูหนัง ฟังเพลง พูดคุย สั่งอาหาร หรือทำอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่จะต้องมีโลกออนไลน์เข้ามาเกี่ยวข้องในเกือบทุก ๆ กิจกรรมไม่มากก็น้อย ซึ่งการเข้าสู่โลกออนไลน์ในแต่ละครั้ง เรานำข้อมูลส่วนตัวของเราเข้าสู่ระบบอย่างมากมาย โดยหารู้ไม่ว่า ข้อมูลของเราถูกหลาย ๆ บริษัทจัดเก็บเอาไว้ บางบริษัทอาจลงลึกจัดเก็บไปมากกว่าข้อมูลส่วนตัวทั่วไป แถมบางครั้งการเข้าไปใช้งานโลกออนไลน์ของเราทิ้ง Digital Footprint ที่อาจจจจะย้อนกลับมาสร้างปัญหาได้ในภายหลัง หลาย ๆ คนอาจเกิดคำถามขึ้นมาว่า แล้วถ้าเราอยากลบ Digital Footprint ให้หมดจด เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว เราจะสามารถทำได้ไหม? หรือร่องรอยการใช้งานอินเทอร์เน็ตของเราจะต้องอยู่ในโลกออนไลน์ตลอดไป?  

ปัญหานานาชนิดที่เกิดมาจาก Digital Footprint  

Digital Footprint คือ ร่องรอยการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ใช้งานที่ได้ฝากเอาไว้บนโลกออนไลน์ทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ Digital Footprint ที่เราทิ้งเอาไว้อาจนำปัญหาใหม่ ๆ มาให้เราได้ในภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นการถูกติดตามจากบุคคลที่ไม่พึงประสงค์จากการพิมพ์คอมเมนต์หรือการพิมพ์โต้ตอบบนโลกออนไลน์ที่มีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน และยังมีเรื่องของการติดตามดูทัศนคติจาก HR ของบริษัทที่เรากำลังสมัครงาน เพื่อมองหาความเป็นไปได้ในการร่วมงานกันกับองค์กรนั้น ๆ ถ้า Digital Footprnt ของเราแสดงถึงทัศนคติที่ไม่สอดคล้องกับองค์กร ก็จะลดโอกาสในการได้งานที่เราต้องการ  

ปัญหาล่าสุดที่พบกันมากในสังคมไทยนั่นก็คือ การโดนแก๊งมิจฉาชีพเก็บ Digital Footprint ของเราไปเพื่อใช้ติดต่อกลับมาหลอกลวงทรัพย์สินของเราโดยตรง มักจะมาในรูปแบบ Call Center อาจได้เบอร์โทรมาจาก Digital Footprint ที่เราลงข้อมูลไว้ในโลกออนไลน์เอง หรือเรานำเบอร์ไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ต่าง ๆ แล้วข้อมูลถูกขายต่อ และนอกเหนือจากนี้เหล่ามิจฉาชีพอาจมาในรูปแบบฟิชชิง SMS หรือ Link ปลอมที่หลอกให้เราเข้าไปกรอกข้อมูลจนสุดท้ายบานปลายกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้   

อย่างไรก็ตาม  Digital Footprint ของเราสามารถถูกจำกัดและแก้ไขได้ผ่านการตั้งค่าการเข้าถึงโพสต์หรือตั้งค่าการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของเรา แล้วในกรณีที่เราเคยลงทะเบียนไว้แต่กลับจำไม่ได้แล้วว่าเว็บไซต์เหล่านั้นมีเว็บไซต์อะไรบ้าง เราจะเรียกคืนมูลส่วนตัวของเรากลับมาได้อย่างไรถ้าคุณกังวลใจในเรื่องนี้อยู่ เราขอบอกเลยว่า ปัญหานี้แก้ไขได้ไม่ยากอย่างที่คิด!  

กำจัด Digital Footprint อย่างง่าย ๆ ด้วย Smart Data Assistant  

ถ้าคุณอยากจะดึงข้อมูลส่วนตัวของคุณที่เคยไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ต่าง ๆ กลับมา คุณสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน และสามารถทำได้ภายใน 5 นาที ด้วย “Smart Data Assistant” ถ้าคุณไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนแล้วสงสัยว่า Smart Data Assistant คืออะไรเราขออธิบายให้ฟังอย่างง่าย ๆ ดังนี้  

Smart Data Assistant คือ บริการที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยสแกนค้นหาว่าอีเมลของคุณผูกบัญชีไว้กับเว็บไซต์อะไรบ้าง รวมถึงสามารถค้นหาและสแกนนโยบายความเป็นส่วนตัวของบริษัทต่าง ๆ ที่อีเมลของคุณผูกบัญชีไว้ว่า บริษัทเหล่านั้นได้เก็บข้อมูลส่วนตัวอะไรของคุณไปบ้าง เช่น ชื่อ-นามสกุลที่อยู่เบอร์โทร หรือบางเว็บไซต์ก็เก็บไปยันข้อมูลบัตรเครดิตของคุณ ด้วยความฉลาดของเทคโนโลยี AI ข้างต้นจะทำให้เราได้รู้ว่าบริษัทไหนบ้างที่มีข้อมูลส่วนตัวของเราอยู่  

ในปัจจุบัน มีอยู่ 2 แอปพลิเคชันน่าใช้ที่อาศัยเทคโนโลยี AI มาต่อยอดให้กลายเป็น Smart Data Assistant ที่จะคอยช่วยเราตรวจหาข้อมูลส่วนตัวและ Digital Footprint ของเราว่าข้ อมูลของเราไปอยู่กับบริษัทไหนบ้าง นอกจากเราจะรับรู้แล้วว่าใครถือข้อมูลเราไว้อยู่ เรายังสามารถเรียกข้อมูลของเรากลับคืนมาได้อีกด้วย ซึ่ง 2 แอปพลิเคชันที่ว่า ได้แก่   

     1. Mine 

Logo of Mine Application

(ที่มา saymine/beemasheli.com) 

 แอปพลิเคชันจากบริษัทสตาร์ทอัปน้องใหม่สัญชาติอิสราเอล ที่จะช่วยคุณตามหาและดึงคืนข้อมูลส่วนตัวของคุณกลับคืนมา การันตีว่าของเขาดีจริงด้วยยอดผู้ใช้งานหลักพันในช่วงเริ่มต้น ปัจจุบันได้พุ่งทะยานสู่ยอดผู้ใช้งานหลักล้านภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น 

 ด้วยความเจ๋งของแอปพลิเคชันที่นอกจากจะใช้ระบบเทคโนโลยี AI มาช่วยในการสแกนหา Digital Footprint ได้อย่างแม่นยำแล้ว ก็ยังมีระบบการทำานที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างสะดวก เพียงกดแค่ไม่กี่คลิก เราก็สามารถลบ Digital Footprint และได้ข้อมูลส่วนตัวกลับคืนมาอย่างง่ายดาย 

 จุดเด่นของ Mine  

  •  UI ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน  
  • มีระบบ AI สแกนหา Digital Footprint ได้อย่างแม่นยำ 
  • ระบบ AI บอกอย่างชัดเจนว่าข้อมูลส่วนตัวของเราในเรื่องไหนบ้างที่บริษัทต่าง ๆ ได้เก็บเอาไว้
  •  Tracking ตามผลการ Reclaim Digital Footprint 

 การออกแบบ UI ของแอปพลิเคชัน Mine ออกแบบมาให้เราใช้งานได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะใช้งานผ่านอุปกรณ์หลากหลายไม่มีติดขัด มีการแบ่งการใช้งานแอปพลิเคชัน ออกเป็น 3 Section หลัก ๆ  

 Section ที่ 1 Overview 

เป็นหน้าเพจที่แสดงให้เราได้เห็นว่า อีเมลของเรามีกี่บริษัทที่เราได้ผูกบัญชีเอาไว้และบริษัทเหล่านี้มีข้อมูลส่วนตัวของเราเก็บเอาไว้อยู่  และในหน้านี้ยังแสดงให้เห็นถึงกราฟการ Reclaim ว่าเรามีการ Reclaim Digital Footprint ของเรากลับคืนมาจากบริษัทเหล่านี้แล้วกี่เปอร์เซ็นต์ 

 Section ที่ 2 My Footprint

ในหน้าเพจนี้ ระบบ AI ที่ทางแอปพลิเคชัน Mine ได้นำมาใช้ในการสแกนหา Digital Footprint นั้นมีความแม่นยำสูงมาก โดยระบบ AI จะสแกนหาบริษัทต่าง ๆ ผ่านใน Inbox อีเมลของเรา แล้วจะนำข้อมูลมาจัดบริษัทออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ ตามประเภทข้อมูลส่วนตัวของเราที่บริษัทนั้น ๆ ได้ถือไว้  เช่น Behavior Data, Social Data, Privacy Data และอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าเราอยากดึง Digital Footprint ของเรากลับคืนมา เราก็จะสามารถเลือกขอ Reclaim ข้อมูลของเรากลับคืนมาได้ทันที 

 นอกจากจะแบ่งหมวดหมู่ตามประเภทข้อมูลส่วนตัวของเราที่บริษัทต่าง ๆ เก็บไว้แล้ว ถ้าเราคลิกเข้าไปในแต่ละบริษัท ก็จะปรากฎให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า บริษัทต่าง ๆ นั้นมีข้อมูลส่วนตัวของเราในเรื่องอะไรบ้างที่เขาได้เก็บเอาไว้ อย่างเช่นบางบริษัทอาจเก็บข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้งานเอาไว้ในเรื่อง Online Behavior, Email Address, Precise Location, Gender, Phone Number และ Address ทาง Mine ก็จะบอกไว้ทั้งหมด 

 ระบบ AI ของ Mine ยังมีการตรวจตราหาความถี่การใช้งานและระยะเวลาที่บริษัทต่าง ๆ เก็บข้อมูลของเราไว้อีกด้วย เราจะสามารถรู้ได้ทันทีว่าบริษัทไหนถืข้อมูลของเราไว้เป็นระยะเวลาเท่าไรแล้ว และสามารถรู้ได้ว่า เว็บไซต์ไหนที่เราไม่ค่อยได้ใช้ ระบบ AI ก็จะค้นหาแล้วโชว์ข้อมูลออกมาให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน  

นอกเหนือจากนี้ยังมีการบอกถึงความเสี่ยงด้วยว่าบริษัทต่าง ๆ มีโอกาสทำข้อมูลเราหลุดมากน้อยแค่ไหน โดยจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับสีแดงคือ เสี่ยงมาก ระดับสีเหลืองคือ เสี่ยงปานกลาง และระดับสีเขียวคือ ค่อนข้างปลอดภัย และนอกจากนี้ระบบ AI ของ Mine ยังมีการสแกนหาเปอร์เซ็นต์ความยากง่ายในการขอ Reclaim Digital Footprint อีกด้วย ทำเรื่องไม่นานน และได้ข้อมูลกลับคืนมาอย่างไม่ยุ่งยากแน่นอน   

  • Section ที่ 3 My Reclaims 

ในหน้าเพจนี้จะเป็นการแสดงสถานะการขอ Reclaim Digital Footprint ของเรา โดยจะแบ่งเป็น Reclaim ที่ Active แล้ว นั่นก็คือ ระบบได้มีการส่งอีเมลแจ้งไปยังบริษัทที่เราต้องการ Reclaim Digital Footprint ของเราแล้ว ถ้าบริษัทนั้นมีการตอบกลับมา อีเมลที่ทางบริษัทตอบกลับจะปรากฎในหน้านี้ทันที โดยเราไม่จำเป็นต้องเข้าไปเช็คใน Inbox ของตัวเอง แต่สามารถเช็คผ่านแอปพลิเคชันได้เลย 

 อีกส่วนหนึ่งในหน้าเพจนี้คือ  Reclaim ที่กำลังรอดำเนินการและสามารถยกเลิกได้ตลอดเวลา ส่วนระยะเวลาในการส่งคำร้องขอ Reclaim นั้น ระบบจะส่งอีเมลแจ้งไปยังบริษัทที่เราต้องการ Reclaim Digital Footprint ภายใน 2-4 วัน หลังจากนั้นบริษัทต่าง ๆ ดำเนินการตามคำร้องของเราจนแล้วเสร็จ Digital Footprint ทั้งหลายก็จะหายจากระบบ แล้วสุดท้ายข้อมูลส่วนตัวของเราก็จะกลับมาเป็นของส่วนตัวอีกครั้งดังเดิม 

 

     2. Revoke 

Logo of Revoke Application

โลโก้แอปพลิเคชัน Revoke 

(ที่มา revoke.com) 

 Smart Data Assistant แอปพลิเคชันที่ 2 ที่จะมาแนะนำก็คือ “Revoke” แอปพลิเคชันที่จะช่วยคุณหา Digital Footprint  และสามารถ Reclaim หรือจัดการลบ Digital Footprint ของคุณทั้งหมดได้อีกด้วย โดย Revoke ใช้เทคโนโลยีระบบ AI เข้ามาสแกนหา Digital Footprint ด้วยชื่ออีเมลของคุณ แต่ความพิเศษของแอปพลิเคชันนี้คือ คุณจะสามารถค้นหาและจัดการ Digital Footprint ได้หลากหลายรูปแบบ ตามเก็บ Digital Footprint ครบทุกพื้นที่บนโลกออนไลน์อย่างแน่นอน 

 จุดเด่นของ Revoke 

  • UI ใช้งานง่ายสะดวก 
  • ระบบ AI ที่ฉลาดสามารถค้นหาและจัดการ Digital Footprint ได้หลากหลายรูปแบบ 
  • มีการ Tracking คำร้องขอ Reclaim 
  • อัปเดตค้นหา Digital Footprint อัตโนมัติทุกสัปดาหฺ์ 

 Revoke เป็นแอปพลิเคชันที่มีการออกแบบ UI ที่ใช้งานได้ง่ายและสะดวก มีการแบ่งหมวดหมู่รูปแบบ Digital Footprint อย่างชัดเจน ซึ่งในส่วนนี้เป็นจุดสำคัญของแอปพลิเคชัน Revoke และทำให้แตกต่างจากแอปพลิเคชั่นก่อนหน้า เพราะระบบ AI ของ Revoke สามารถค้นหา Digital Footprint ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็น 

 Data Subject Access Requestsขอคืนอีเมลของเราที่ไปผูกบัญชีกับเว็บไซต์ต่าง ๆ แล้วบริษัทเหล่านี้เก็บข้อมูลส่วนตัวของเราเอาไว้ ซึ่งระบบ AI จะค้นหาแล้วจำแนกบริษัทต่าง ๆ ออกมาอย่างชัดเจน แล้วเราสามารถกดส่งคำร้องขอ Reclaim Digital Footprint ได้ทันที 

 Dark Web & Breach Alertsแจ้งเตือนจากระบบ AI หากพบว่า อีเมลของคุณถูกจัดเก็บข้อมูลไว้บน Dark Web ต่าง ๆ เมื่อไหร่ที่ตรวจพบก็จะมีการแจ้งเตือนกลับมาอย่างละเอียดว่า Dark Web เหล่านี้จัดเก็บข้อมูลอะไรของเราไว้บ้าง  

 Social Media Privacy & Securityช่วยตรวจสอบว่าเราใช้ Social Media ไหนไปผูกไว้กับแอปพลิเคชันหรือบริการใดบ้าง และจัดการยกเลิกการผูกบัญชีแอปพลิเคชันนั้นกับ Social Media ของเราได้ทันที 

 App Scan: ตรวจสอบได้ว่าแต่ละแอปพลิเคชันในอุปกรณ์ของเราเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอะไรบ้าง โดยระบบ AI สามารถตรวจสอบอย่างชัดเจนผ่านทุกแอปพลิเคชัน และสามารถจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของแต่ละแอปฯได้ทันที ซึ่งเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้ 

 What Is My Phone Leakingสามารถตรวจสอบได้ว่าแอปพลิเคชันในอุปกรณ์ของเรามี Third Party หรือแชร์ข้อมูลส่วนตัวของเราหรือไม่ เราสามารถกำจัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลได้ทันที ซึ่งฟีเจอร์นี้ก็จะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้เช่นเดียวกัน 

 แอปพลิเคชัน Revoke นอกจากจะมีระบบ AI ที่เข้ามาช่วยตรวจตราหา Digital Footprint ไดหลากหลายรูปแบบแล้ว Revoke ก็ยังมีระบบการติดตามคำร้องขอ Reclaim Digital Footprint ว่าดำเนินเรื่องไปถึงไหนแล้วได้อีกด้วย ซึ่งระบบ AI จะค้นหา Digital Footprint ทุกสัปดาห์ ถ้าเจอ Digital Footprint ใหม่ ๆ ก็จะรายงานให้เราได้ทราบทันที 

 นอกเหนือจากนี้ Revoke ยังสามารถให้เราเลือกวิธีจัดการกับ Digital Footprint ได้ ทางเลือกดังนี้   

 

  1. Retrieve Dataคำร้องขอข้อมูลส่วนตัวของเรากลับคืนมาจากบริษัท
  1. Stop Marketingบริษัทจะไม่สามารถส่งอีเมลในการทำการตลาดออนไลน์หาเราได้อีก
  1. Delete Dataคำร้องขอให้บริษัทลบข้อมูลส่วนตัวของเราออกไปจากระบบ

 ทั้ง 3 ทางเลือกในการจัดการ Digital Footprint นี้ เราสามารถเลือกใช้ทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง หรือสามารถเลือกทั้ง 3 ทางเลือกได้เลย โดย Revoke จะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากบริษัทที่เราส่งคำร้องขอ Reclaim ดำเนินการเรียบร้อย เพียงเท่านี้ Digital Footprint ของเราก็จะหายไป 

 

 แล้วเราจะไว้วางใจฝากข้อมูลของเราไว้กับ Smart Data Assistant ทั้ง 2 แอป  ได้จริงเหรอ? 

 

 ใครหลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอาจจะสงสัยขึ้นมาว่าการที่เราจะ Reclaim Digital Footprint ได้ เราก็ต้องเอาอีเมลของเราไปผูกบัญชีไว้กับ 2 แอปพลิเคชันนี้ แล้วระบบ AI ของทั้ง 2 แอปพลิเคชันจะมาตรวจตราในอีเมลของเราเพื่อค้นหาข้อมูลบริษัทต่าง ๆ ที่มีข้อมูลของเราเก็บไว้ แล้วทั้ง 2 แอปพลิเคชันจะแตกต่างกับบริษัทอื่น ๆ อย่างไร ในเมื่อก็เข้าถึงข้อมูลของเราเหมือนกัน? 

 บอกได้เลยว่าแตกต่างอย่างแน่นอน เพราะทั้ง 2 แอปพลิเคชันจะไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของเราไว้แม้แต่น้อย ในกรณีของแอปพลิเคชัน Mine นั้น จะขอเข้าถึงข้อมูลขั้นต่ำเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้งานเท่านั้น ซึงผ่านนโยบายการประเมินความปลอดภัยภายนอกที่เข้มงวดของ Google มาแล้วเรียบร้อย คุณจึงมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าปลอดภัยและไว้วางใจได้ 

 ส่วนแอปพลิเคชัน Revoke ใช้การรักษาความปลอดภัยและการเข้ารหัสขั้นสูงที่ไม่เหมือนใครเพื่อให้ข้อมูลของผู้ใช้งานปลอดภัยและได้รับการปกป้อง โดย Revoke ได้ใช้การเข้ารหัสข้อมูลเพื่อให้มีเพียงผู้ใช้งานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการให้บริการไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสข้อมูลได้ ข้อมูลทั้งหมดถูกเข้ารหัสด้วยค่าเริ่มต้น ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลใด ๆ ในรูปแบบข้อความธรรมดา จึงสามารถไว้วางใจความปลอดภัยในการแชร์ข้อมูลได้อย่างแน่นอน 

 ถึงแม้ในปัจจุบันเราจะมีบริการ Smart Data Assistant อย่างจาก 2 แอปพลิเคชันข้างต้นมาช่วยเหลือเราในการกำจัด Digital Footprint แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถใช้งานโลกออนไลน์ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการแชร์ข้อมูลส่วนตัวของเราอีกแล้ว การมีอยู่ของ Smart Data Assistant อย่าง Mine หรือ Revoke เป็นเครื่องย้ำเตือนให้เรารู้เท่าทันโลกออนไลน์ว่าข้อมูลส่วนตัวแท้จริงแล้วเมื่ออยู่บนออนไลน์จะไม่ส่วนตัวอีกต่อไป หากในอนาคตข้างหน้า 2 แอปพลิเคชันนี้ปิดตัวลง  แล้วเรายังไม่ปรับตัวลดความเสี่ยงในการแชร์ข้อมูลลงในโลกออนไลน์ Digital Footprint ของเราอาจปรากฎไปทั่วโลกออนไลน์จนส่งผลกระทบตามมาในภายหลังได้ 

 ้างอิง : 

Saymine.com 

Revoke.com 

Nocamels.com 

 

เนื้อหาโดย: คุณศุภณัฐ หมากสุก

Tags

What do you think?

Related articles